Monday, February 20, 2017

ทรัพยากรป่าไม้



http://www.thaiwater.net/current/drought58/img-drought58/compare-rainfall.gif      ภัยแล้งปี       2557/2558                                                                   จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2558 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ทั้งหมด 36 จังหวัด 230 อำเภอ 1,266 ตำบล 11,389 หมู่บ้าน (คิดเป็น 15.19% จากจำนวนหมู่บ้านทั้งหมดทั่วประเทศ 74,965 หมู่บ้าน) แบ่งเป็นภาคเหนือ 11 จังหวัด ตะวันออกเฉียงเหนือ 9 จังหวัด ภาคกลาง 7 จังหวัด ภาคตะวันออก 4 จังหวัด และ ภาคใต้ 5 จังหวัด โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้ง คือ ปริมาณฝน ที่ถึงแม้ว่าปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศไทยในปี 2557 จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเพียง 0.29% รวมทั้งยังมากกว่าปี 2548 ที่ประเทศไทยเกิดภัยแล้งรุนแรงอยู่ 0.81% แต่หากพิจารณาลักษณะการกระจายตัวของฝน จะเห็นได้ว่าปี 2548 มีการกระจายตัวของฝนครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยมากกว่าปี 2557 ที่มีฝนตกหนักกระจุกตัวเป็นหย่อม ๆ ตามแนวขอบประเทศ อีกทั้งบริเวณภาคใต้มีฝนตกค่อนข้างมาก ทำให้ค่าฝนเฉลี่ยรวมทั้งประเทศสูงขึ้นมาใกล้เคียงค่าเฉลี่ย แต่บริเวณตอนกลางของประเทศกลับมีฝนตกน้อยมาก และหากเทียบกับแผนภาพฝนตั้งแต่ปี 2548-2556 พบว่าปี 2557 มีบริเวณที่ฝนตกน้อยกระจายตัวครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทยมากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณตอนกลางของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ตอนบน ทั้งนี้เป็นลักษณะของฝนที่ตกน้อยครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2555 

             หากพิจารณาปริมาณฝนแยกเป็นรายภาค พบว่าปี 2557 ภาคเหนือมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยและน้อยกว่าทุกปียกเว้นปี 2552 ที่ภาคเหนือมีฝนตกน้อยมาก จนส่งผลให้เกิดภัยแล้งรุนแรงในปี 2553 สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ย รวมทั้งมากกว่าปี 2548 และปี 2553 ที่ประเทศไทยเกิดภัยแล้งรุนแรง ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีปริมาณฝนน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี ภาคใต้ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกมีฝนค่อนข้างมาก โดยมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งสองภาค และเมื่อเข้าสู่ต้นปี 2558 ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน สถานการณ์ฝนทั้งประเทศยังคงตกค่อนข้างน้อยต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ปกติเนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูแล้ง มีเพียงบางพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลางที่มีฝนตกกระจุกมากกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน
          จากสถานการณ์ฝนตกหนักกระจุกตัวตามแนวขอบประเทศ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในบางพื้นที่ เช่น บริเวณจังหวัดเชียงรายและอุบลราชธานี
http://www.thaiwater.net/current/drought58/img-drought58/dam_1Nov_Thailand.pngและส่วนใหญ่เป็นการกระจุกตัวอยู่นอกพื้นที่รับน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จึงทำให้ปริมาณน้ำไหลลงอ่างมีค่อนข้างน้อย มีเพียงเขื่อนสิรินธรเท่านั้นที่มีน้ำไหลลงอ่างฯ สูงที่สุดในรอบ 9 ปี เนื่องจากมีฝนตกหนักในพื้นที่รับน้ำช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2557
          เมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศมีฝนตกน้อยจึงส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำค่อนข้างน้อยตามไปด้วย จากรายงาน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2557 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดฤดูฝน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาณน้ำคงเหลือเพื่อเป็นต้นทุนสำหรับฤดูแล้ง ปี 57/58 อยู่เพียง 45,155 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้อยวิกฤต ใกล้เคียงปี 2553 ซึ่งประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง และเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปี 57/58 ( พฤศจิกายนถึงเมษายน) ฝนยังคงตกน้อยต่อเนื่องจนถึงสิ้นฤดูแล้ง ส่งผลทำให้มีน้ำมาเติมในเขื่อนน้อยมาก สถานการณ์น้ำจึงอยู่ในภาวะวิกฤตตลอดฤดูกาล โดยมีน้ำคงเหลือรวมทั้งประเทศเมื่อสิ้นฤดูแล้งเพียง 36,633 ล้านลูกบาศก์เมตร
          หากพิจารณาข้อมูลเป็นรายภาคพบว่า ปี 2557 ปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือในแต่ละภาคมีอยู่ค่อนข้างน้อย มีเพียงภาคใต้ที่สถานการณ์น้ำอยู่ในภาวะปกติ และในปีนี้สถานการณ์น้ำในภาคเหนือและภาคตะวันตกอยู่ในภาวะน้อยวิกฤตพร้อมกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงภาคกลางที่ใช้น้ำต้นทุนจากทั้งสองภาค
         

     สำหรับเขื่อนภูมิพล สถานการณ์อยู่ในภาวะน้ำน้อยวิกฤต ณ วันที่ 30 เมษายน 2558 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดฤดูแล้ง มีปริมาณน้ำคงเหลือเพียง 5,241 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 39% ของความจุอ่าง และมีน้ำใช้การได้จริงเพียง 1,411 ล้านลูกบากศ์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำเหลือ 4,794 ล้านลูกบากศเมตร คิดเป็น 50% ของความจุอ่าง มีน้ำใช้การได้จริง 1,944 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำค่อนข้างน้อย สำหรับเขื่อนศรีนครินทร์ปีนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 12,348 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 70% ซึ่งเป็นปริมาณน้ำกักเก็บน้อยที่สุดในรอบ 15 ปี และมีน้ำใช้การได้จริงเหลือเพียง 2,083 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น
           จากสถานการณ์น้ำในเขื่อนที่มีเหลืออยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อสิ้นฤดูฝนปี 2557 ทางกรมชลประทานจึงได้ประกาศขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้งดทำนาปรังในช่วงฤดูแล้ง เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ รวมทั้งสำรองไว้ใช้ในกรณีเกิดสถานการณ์ฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนถัดไป แต่จากรายงาน ณ สิ้นฤดูแล้งปี 2557/2558 กลับพบว่าเกษตรกรได้เพาะปลูกพืชเกินจากแผนไปมาก ทั้งนี้กรมชลประทานได้วางแผนการเพาะปลูกพืชช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศ รวมทั้งสิ้น 9.11 ล้านไร่ แต่มีการเพาะปลูกจริง 12.38 ล้านไร่ คิดเป็น 136% ซึ่งเกินจากแผนไปถึง 3.27 ล้านไร่ ทั้งนี้มีการปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไป 3.82 ล้านไร่ หากพิจารณาเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้วางแผนการปลูกพืชไว้ทั้งหมด 2.50 ล้านไร่ เพาะปลูกจริง 1.99.27 ล้านไร่ คิดเป็น 80% ซึ่งต่ำกว่าแผน แต่กลับมีการปลูกข้าวนาปรังในเขตพื้นที่ชลประทานเกินไปจากแผน 0.03 ล้านไร่ สำหรับในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ได้วางแผนการเพาะปลูกพืชไว้ 3.26 ล้านไร่ แต่เพาะปลูกจริงเกินแผนไปมากถึง 6.87 ล้านไร่ คิดเป็น 211% หรือเกินจากแผนไป 3.61 ล้านไร่ โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง ที่ทางกรมชลประทานได้ประกาศให้เกษตรกรงดทำนาปรังในพื้นที่ชลประทาน แต่กลับมีการเพาะปลูกถึง 3.72 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทาน มีการวางแผนให้เพาะปลูกข้าวนาปรัง 2.03 ล้านไร่ แต่กลับมีการเพาะปลูกจริง 2.54 ล้านไร่ เกินจากแผน 0.51 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 125% นอกจากนี้เกษตรกรยังปลูกพืชไร่พืชผักนอกเขตพื้นที่ชลประทานเกินจากแผน 0.14 ล้านไร่
            ถึงแม้ช่วงฤดูแล้ง 2557/2558 จะมีฝนตกน้อย ทำให้น้ำในเขื่อนและแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ มีค่อนข้างน้อย แต่สถานการณ์น้ำเค็มรุกล้ำลำน้ำกลับอยู่ในสภาวะปกติ ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง ท่าจีน และแม่กลอง โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานีสูบน้ำสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี ที่ค่าความเค็มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการผลิตน้ำประปาตลอดฤดูแล้ง ทำให้ไม่ส่งผลต่อการผลิตน้ำประปาแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากช่วงต้นปี 2557 ที่ตรวจวัดค่าความเค็มเกินมาตรฐานได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม และค่าความเค็มเกินมาตรฐานค่อนข้างมากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้น้ำประปามีรสเค็มและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค


 

 

 

สถานการณ์ป่าไม้ไทย


จากข้อมูลจนถึงปัจจุบันพบว่า พื้นที่ป่าประเทศไทยน่าจะเหลืออยู่ 171,586 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณร้อยละ 33 ของพื้นที่ที่ดินประเทศไทย เมื่อเทียบกับเนื้อที่ป่าเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาจะมีเนื้อป่าลดลงไปถึงร้อยละ 50 ของที่เคยมี

 

 

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwZ48KtZVfzJE5ui_CHb91nfuFa9Z6V7d17IaXH1E65ZtSiNG87xBDKa0_oUgbbpltcrwbQ_6lhBLd_rKJ1w0L-YLiKUEw6tu9REO6yjD1ZISjjNMBPyKnVovFiu4hZ2U8TUQVbBTzvOI/s640/82226677.jpg

 

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยทำลายป่าไปในพื้นที่ 1/3 ของเนื้อที่ประเทศไทย ประมาณ 155,885 ตารางกิโลเมตร หรือ เท่ากับ 56 เท่าของพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยในช่วงปี 2504-2525 มีพื้นที่ป่าหายไปมากที่สุดหลังจากเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มุ่งเน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการพาณิชย์ และการสัมปทานป่าไม้และไม่มีการป้องกันการบุกรุกตามมา พื้นที่ป่ายังลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2549 ที่เชื่อได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นของเนื้อที่ป่า

จากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีจังหวัดต่างๆที่ปกคลุมด้วยป่าไม้เกือบทั้งจังหวัดประมาณ 18 จังหวัด และมีเนื้อที่ป่าไม้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ 23 จังหวัด ปัจจุบันเหลือจังหวัดที่มีป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70% อยู่ 5 จังหวัด และมีจังหวัดที่ป่าไม้ปกคลุมมากกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ 8 จังหวัด


การสูญเสียป่าไม้เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบเป็นรายจังหวัดจากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีจังหวัดที่เคยมีป่าไม้มากปกคลุมกว่า 70% แต่ปัจจุบันสูญเสียไปเกือบทั้งหมด คือ จังหวัดกำแพงเพชร สกลนคร และชุมพร นับเป็นพื้นที่ที่สูญเสียป่าไม้รุนแรงมาก ส่วนจังหวัดที่ป่าไม้ปกคลุมอยู่มากและมีการสูญเสียป่าไม้ราวๆ ครึ่งหนึ่ง ได้แก่ เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สตูล กาฬสินธุ์ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กระบี่ ตรัง แต่อย่างไรก็ตามจังหวัดอื่นๆ ก็มีเนื้อที่ป่าลดลงอย่างมากเช่นกัน


ในปัจจุบัน เนื้อที่ป่าไม้ในประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ประมาณ 3% ของเนื้อที่ประเทศไทยจากสถิติในช่วง  2549-2552 แต่เมื่อพิจารณาในพื้นที่จังหวัดต่างๆ พบว่า มีจังหวัดที่ยังมีเนื้อที่ป่าลดลงมาก (เกิน 5% ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่ จังหวัด สตูล ตาก น่าน แพร่ นครพนม ตราด ประจวบคีรีขันธ์


โดยเฉพาะจังหวัด ตาก และน่าน เป็นพื้นที่รับน้ำของเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิตติ์  ซึ่งมีผลต่อการชะลอน้ำท่าจากพายุฝนที่จะไหลลงเขื่อนอย่างรวดเร็ว และป้องการกัดเซาะหน้าดินลงอ่างเก็บน้ำ ที่น่าจะมีผลต่ออุทกภัยในปี 2554 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ จังหวัด กำแพงเพชร เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน สุโขทัย กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร อุดรธานี ระยอง และ ตรัง ก็มีเนื้อที่ป่าที่ลดลงมากเช่นกัน

 

 

 

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUTAVVGGT0aac3tSWcAvpJ643hF-PrZHfjO0vinPTQxwq-UH2YdoZPbc5bhu3NLPL4YvSOyigjyk2iGd1vByVA4Y5MQLrz0VsR77npDK8pDVDCi2GRGSC93lS3ARpyHmnsLZjqbTpkwmw/s640/269f394c.jpg

 

 

มาตรการจัดการป่าของประเทศไทย คือ การประกาศป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ 2507 แต่เนื่องจากเป็นมาตรการที่มุ่งในการควบคุมพื้นที่ป่าเพื่อการใช้ประโยชน์จากป่าเป็นสำคัญ ทั้งการให้สัมปทานไม้ในอดีต (สิ้นสุดเมื่อปี 2531 หลังเกิดดินถล่มจากการตัดไม้ทำลายป่าและกระแสอนุรักษ์ในช่วงการต่อต้านเขื่อนน้ำโจน) และยังคงมีการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์หรือกระทั่งอยู่อาศัยในพื้นที่ ดังนั้นพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกประกาศปัจจุบันจึงมีพื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว (ในปัจจุบันมีพื้นที่ที่ประกาศเป็นป่าสงวนอยู่ราว 45% หรือ กว่า 230,000 ตารางกิโลเมตร แต่มีพื้นที่ป่าเหลือจริงอยู่เพียง 171,586 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 70 ดังนั้นแสดงว่ามีเนื้อที่ป่าสงวนถูกใช้ประโยชน์ไปถึงประมาณ 30%

 

การอนุรักษ์ป่าที่ได้ผลมากกว่าการประกาศป่าสงวนคือ การประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรือ พื้นที่คุ้มครอง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุสัตว์ป่า วนอุทยาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า รวมถึง สวนรุกขชาติและสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งแม้ว่าจะสามารถรักษาพื้นที่ที่ถูกประกาศส่วนใหญ่ไว้ได้แต่เนื่องจากขั้นตอนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ในอดีตมิได้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและการสำรวจเพื่อคุ้มครองสิทธิชุมชน จึงทำให้มีการประกาศพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ใช้ประโยชน์ทำกิน และเก็บหาของป่าของประชาชนในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาในเชิงสิทธิชุมชนมากมายในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2541)  ในการผ่อนผันให้อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีการขยายพื้นที่เดิม ที่ไม่มีการแสดงแนวเขตการควบคุมที่ชัดเจนก็ส่งผลให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้จากการขยายตัวทั้งชุมชนกลางป่า และขอบป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการส่งเสริมการปลูกพืชไร่ต่างๆ สวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทั้งจากบริษัทเอกชน และนโยบายการสนับสนุนที่ขาดความรอบคอบของรัฐ ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง และสูญเสียพื้นที่ป่าเพิ่มเติมตลอดมา

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์รวมแล้วประมาณ 103,810  ตารางกิโลเมตร หรือ 20% ของเนื้อที่ประเทศไทย โดยน่าจะมีเนื้อที่ป่าจริงประมาณกว่า 15%  และพื้นที่ป่าจำนวนนี้ คือพื้นที่มีศักยภาพสูงในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในการเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า และเก็บรักษาแหล่งพันธุกรรมของพืช เนื่องจากมีการจัดการป้องกันการบุกรุกทำลายที่ดีกว่าพื้นที่ป่าสงวน

 

 

 

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtGMVb4FzVQr7wF0uqAL_N-VbJzXP84i6Qa8N00G9luF2oZLA7rvQ3-_HXv2thQrpdRZGUVJpfft-9TP04kLNMduAHH2GTuomhOqgbsU55i46NHfopJ_7UKzLtEBngUdD9iZB30RYNyjg/s640/38f17db9.jpg

 

 




https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiurYOh0bvNhNa_D8KAEPz03oUTQsbK4YmcfCZf8gA-zzZ4YTbV3uVIQtFGiEk6njKAs3QDCx0_v0refuheLGFD3FFMUmEXBxQClvrz6P6Qf1ZH44fAiSdMjIxpRwjesZEhWWyT0MIbgwM/s640/86d92a55.jpg

 

 

 

จากข้อมูลของฝ่ายรังวัดแนวเขตที่ดินป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ (จัดทำข้อมูลแผนที่ตั้งแต่ปี 2544) ได้แสดงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีสภาพเป็นป่าไม้เสื่อมโทรม หรือไม่สมบูรณ์ จะเห็นสถานการณ์ของการรักษาพื้นที่ป่าได้อย่างชัดเจน โดยพื้นที่ที่ยังเป็นพื้นที่สมบูรณ์ปัจจุบันเป็นป่าที่ประกาศเป็นป่าอนุรักษ์แล้วเกือบทั้งสิ้น และแม้ว่าปัจจุบันจะมีการจัดตั้งป่าชุมชนอยู่ทั่วประเทศกว่าหนึ่งหมื่นแห่ง แต่เป็นพื้นที่เพียงไม่ถึง 1% ของพื้นที่ ประเทศไทย

 

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjx2uotZnyz5gcWPWgJP6oTZf8xKFHO8Z1uTEqEeaRabCb-8fKF19JlXt3EbpEld9MuiFPrzkQCFBLCI71-5cfoiCj49UB0XBZzqcDCdI28Ifd6HwHRDSfBtOMm1bP44VX7BtgdK-81jg/s640/27d91b15.jpg

 

 

แม้ว่าจะมีการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ในประเทศไทยได้ประมาณ 20% ของพื้นที่ประเทศไทย นับว่าเป็นการรักษาพื้นที่ต้นน้ำ และทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของประชากรที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่ดินในการเกษตร โครงการพัฒนา และการท่องเที่ยวต่างๆ ยังเป็นการคุกคามการอยู่รอดของพื้นที่ป่าประเทศไทยอยู่ ซึ่งนับเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยที่ต้องร่วมกันคิดว่าเราจะรักษาป่าที่เหลืออยู่นี้ไว้ให้ได้อย่างไร จากแผนที่เราจะเห็นได้ว่าสีเหลืองเข้มคือพื้นที่จังหวัดที่มีประชากร 2.5-6 ล้านคน และ พื้นที่สีเหลืองอ่อน คือพื้นที่ที่มีประชากร 1.6-3.5 แสนคน อยู่รอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์

 

 

ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=927:seubnews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14

 

สถานการณ์เนื้อที่ป่าไม้ในแต่ละภาค
           ข้อมูลในปี 2552 พบว่าพื้นทีป่าภาคเหนือมีเนื้อที่ป่าเหลืออยู่ 56.04 % (95,074.7 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 12.5 % ของพื้นที่ภาค พื้นที่ป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่ป่าเหลืออยู่ 16.32 % (27,555.5 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 25.67 % ของพื้นที่ภาค ภาคตะวันออกมีเนื้อที่ป่าเหลืออยู่ 21.01 % (8,033.4 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 36.97 % ของพื้นที่ภาค ภาคกลางมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่ 29.81% (20,089.04 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 23.1 % ของพื้นที่ภาค และภาคใต้มีเนื้อที่ป่าเหลืออยู่ 27.03 % (20,832 ตารางกิโลเมตร) ลดลง 14.3 % โดยภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีป่าไม้ปกคลุมมากที่สุดเกิน 50 %ของพื้นที่ ภาคกลาง ภาคใต้และ ภาคตะวันออก ยังคงเหลือพื้นที่ป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 20 % ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีป่าปกคลุมน้อยที่สุดไม่ถึง 20%

สถานการณ์การลดลงของเนื้อที่ป่าไม้รุนแรงที่สุดที่ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่เนื้อที่ป่าไม้หายไปถึง 63.76 % และ 61.13 % ของที่เคยมีเมื่อปี 2504 ส่วนภาคกลางและภาคใต้เนื้อที่ป่าหายไป 43.65 % และ 34.59 % ของที่เคยมีเมื่อปี 2504 ขณะที่ภาคเหนือเนื้อที่ป่าหายไป 18.83 % ของที่เคยมีเมื่อปี 2504

ข้อมูลปี 52 เทียบเคียงกับ%เนื้อที่ป่าเทียบกับพื้นที่ประเทศไทยที่มีอยู่  33.44%  พบว่ามีเนื้อที่ป่าเหลืออยู่ในภาคต่างๆเรียงลำดับได้ในภาคเหนือมากที่สุดถึง 18.54 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5.37 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคกลาง 3.83 % ของเนื้อที่ประเทศไทย ภาคใต้ 3.73 % ของเนื้อที่ประเทศไทย และภาคตะวันออก 1.50 % ของเนื้อที่ประเทศไทย นั่นคือเนื้อที่ป่าไม้กว่าครึ่งหนึ่งเหลืออยู่ที่ภาคเหนือ

สถานการณ์พื้นที่ป่าไม้เป็นรายจังหวัด 
            จากการเปรียบเทียบเนื้อที่ป่าไม้ในแต่ละจังหวัด พบว่าในราว 50 ปีที่ผ่านมาสามารถแบ่งกลุ่มจังหวัดที่มีเนื้อที่ป่าไม้ปกคลุมพื้นที่จังหวัดออกได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSxCfUbWa7KqPYu9wRap3ZYj7N9rLAxcqfyjeNBLDQ4cc_zQni9y4uHvdFPBmWE43-mu2I7to7CQPAAUBmOTTXQ7WScfrM_8yzaERswLfe-h-Xg1a87-_NUzkJ-BpOx5HpXzfInwET9lo/s400/dip.jpg

 

 

 


1. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70 % ของพื้นที่ 

- ในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร  เชียงใหม่ ตาก น่าน เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี
- ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร
- ในภาคกลางได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
- ในภาคใต้ ได้แก่จังหวัด ชุมพร พังงา  ระนอง และ สตูล
โดยในปัจจุบันข้อมูลปี 2552 จังหวัดที่ยังคงเหลือเนื้อที่ป่าปกคลุมมากกว่า 70 % คือ เชียงใหม่ ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน และ ลำปาง

2. จังหวัดที่มีเคยมีเนื้อที่ป่าไม้ปกคลุม 50-70 % ของพื้นที่ (รวมตรัง 49.80)
- ในภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย แพร่ พะเยา พิษณุโลก สุโขทัย
- ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่จังหวัด กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา เลยหนองคาย
- ในภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดจันทบุรี  ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง
- ในภาคกลาง ได้แก่จังหวัดราชบุรี
- ในภาคใต้ ได้แก่ จังหวัด กระบี่ ตรัง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี
โดยในปัจจุบันข้อมูลปี 2552 จังหวัดที่ยังคงเหลือเนื้อที่ปกคลุม 50-70 % คือ แพร่ พะเยา ลำพูน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ระนอง

3. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ป่าไม้ปกคลุม 25-50 %  ของพื้นที่

- ในภาคเหนือได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์
- ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่ จังหวัดขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี
- ในภาคกลาง ได้แก่ จังหวัด ลพบุรี สุพรรณบุรี
- ในภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ยะลา
โดยในปัจจุบันข้อมูลปี 2552 จังหวัดที่ยังคงเหลือเนื้อที่ปกคลุม 25-50 % คือ เชียงราย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ชัยภูมิ มุกดาหาร เลย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี นราธิวาส พังงา ภูเก็ต ยะลา สตูล สุราษฎร์ธานี

4. จังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ป่าปกคลุม 1-25%
- ในภาคเหนือได้แก่จังหวัดพิจิตร
- ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่จังหวัดมหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู
- ในภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดสระแก้ว
- ในภาคกลางได้แก่ จังหวัด ชัยนาท สระบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร
- ในภาคใต้ได้แก่ จังหวัดปัตตานี พัทลุง สงขลา นราธิวาส
โดยในปัจจุบันข้อมูลปี 2552 จังหวัดที่ยังคงเหลือเนื้อที่ปกคลุมน้อยกว่า 25 % คือ กำแพงเพชร นครสวรรค์  กาฬสินธ์ ขอนแก่น นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สระแก้ว  ชัยนาท ลพบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี สุพรรณบุรี กระบี่ ชุมพร ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี พัทลุง สงขลา

5. จังหวัดที่ไม่เคยมีเนื้อที่ป่าหรือเคยมีเนื้อที่ป่าปกคลุมไม่ถึง 1% ได้แก่ จังหวัด กรุงเทพมหานคร
นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง โดยในปัจจุบันข้อมูลปี 2552 จังหวัดที่ไม่มีเนื้อที่ป่า หรือมีเนื้อที่ป่าปกคลุมไม่ถึง 1% คือ พิจิตร กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง

จากการศึกษาข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้รายจังหวัด สามารถจัดกลุ่มจังหวัดที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ป่าออกได้เป็น  4 ระดับ ดังนี้

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXY-SyDCQnC1gJftLpmRM7su3BYBze8atK0tnlOp2rDr0IV7UHYuB0fPLCFJJhK0UngvsJOB8AhQiUN9i1SzTrTS4ybN76FIigKw_1NYJiVRdXh27-QtmuCyGAl0F33jV2tI2PXjU5otg/s400/630.jpg

 


สูญเสียเนื้อที่ป่าไม้รุนแรงมาก คือจังหวัดที่เคยมีเนื้อที่ป่าไม้มากกว่า 70 % ในอดีตแต่ในปัจจุบันลดลงไม่ถึง 25 % ของพื้นที่จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร สกลนคร และชุมพร สูญเสียเนื้อที่ป่าไม้อย่างรุนแรง คือจังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70% ในอดีตแต่ในปัจจุบันลดลงไม่ถึง 50% ได้แก่ จังหวัด เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สตูล และจังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมกว่า 50% แต่ในปัจจุบันลดลงไม่ถึง 25 % ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กระบี่ ตรัง

สูญเสียเนื้อที่ป่าไม้มาก คือจังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70% ในอดีตแต่ในปัจจุบันลดลงอยุ่ในช่วง 50-70% ได้แก่ จังหวัดลำพูน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ระนอง  ,จังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมกว่า 50% แต่ในปัจจุบันลดลงอยู่ในช่วง 25-50 % ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พิษณุโลก สุโขทัย ชัยภูมิ เลย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ราชบุรี ภูเก็ต สุราษฏร์ธานี และ จังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุม 25-50 % แต่ในปัจจุบันลดลงจนน้อยกว่า 25 % ได้แก่จังหวัดนครสวรรค์ ขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุดรานี อุบลราชธานี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา รวมถึงพิจิตร ที่เคยมีป่าไม้อยู่ถึงเกือบ 20 % แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีป่าไม้เหลืออยู่เลย

จังหวัดที่สูญเสียป่าไม้ปานกลาง คือจังหวัด จังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมมากกว่า 70% ในอดีตและในปัจจุบันลดลงแต่ยังคงมีป่าไม้มากกว่า 70% ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่  ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน และ ลำปาง,จังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุมกว่า 50% ในปัจจุบันลดลงแต่ยังคงมีป่าไม้มากกว่า 50 % ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา และ จังหวัดที่เคยมีป่าไม้ปกคลุม 25-50 % ในปัจจุบันลดลงแต่ยังคงมีป่าไม้มากกว่า 25 % ได้แก่จังหวัดยะลา รวมถึง จังหวัดมหาสารคาม ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู สระแก้ว ชัยนาท สระบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ปัตตานี และพัทลุง ที่เคยมีป่าไม้อยู่บ้างและในปัจจุบันก็ยังมีเนื้อที่ป่าไม้เหลืออยู่ ซึ่งในกลุ่มนี้ อาจจะรวมถึง กรุงเทพมหานคร และพระนครศรีอยุธยาไว้ด้วยก็ได้

นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นในจังหวัด มุกดาหาร และนราธิวาส ไม่เพียงพอในการวิเคราะห์ดังกล่าวเนื่องจากไม่มีข้อมูลในช่วงก่อนปี 2525 อาจเนื่องมาจากภาพดาวเทียมมีเมฆปกคลุมมาก

แม้ว่าในปัจจุบันภาพรวมของเนื้อที่ประเทศไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามข้อมูลเปรียบเทียบ พ.ศ. 2547 และ 2552 ดังที่ได้กล่าวแล้ว โดยแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ (ภาคกลางและภาคตะวันออก ยังมีแนวโน้มลดลง) เมื่อพิจารณาข้อมูลรายจังหวัดสามารถจัดกลุ่มพื้นที่จังหวัดตามเนื้อที่ป่าไม้ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ต่อไปนี้


- พื้นที่จังหวัดที่มีข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น 1-5% ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ อุทัยธานี ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี สระแก้ว สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช ระนอง สงขลา และสุราษฏรธานี ในจำนวนนี้ พบว่าจังหวัดลำปาง ลพบุรี พังงา มีเนื้อที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นสูงเกิน 5 % ของเนื้อที่จังหวัด และพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว จังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นถึง 10.14 % ของเนื้อที่จังหวัด
- พื้นที่จังหวัดที่มีข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้คงที่ หรือเพิ่มขึ้นลดลงไม่เกิน 0.5% ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่  นครสวรรค์ พิจิตร นครราชสีมา บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ จันทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง นราธิวาส ยะลา
- พื้นที่จังหวัดที่มีข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้ลดลง 1-3% ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย ตาก พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน สุโขทัย กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร อุดรราชธานี ระยอง  ตรัง และมีข้อมูลเนื้อที่ป่าไม้ลดลงประมาณ 5-9 %ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่จังหวัดตาก น่าน แพร่ นครพนม ตราด ประจวบคีรีขันธ์ ในขณะที่จังหวัดสตูลมีเนื้อที่ป่าไม้ลดลงถึง 11.18 % ของเนื้อที่จังหวัด

 

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgg7Oi1bK4PPl8_OZXKgn97-03djlbfTtkYBSRkM8LvOqvBhh9ZYqHmgmWCQFPNfkXHkLhuiTBl4iq-mDeThFXMrFsiWl_QyngjK583GUeC3IyrMgbQ182edOEmnra0rsNlf52bcohGlHo/s400/20110128_5582_attach_files.jpg

 

ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร


สถานการณ์ป่าไม้ไทย


             การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ดีที่สุด คือการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในถิ่นกำเนิด (Insitu Conservation) สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีความแปรผันเนื่องจากถูกควบคุมโดยลักษณะทาง พันธุกรรม จึงทำให้สิ่งมีชีวิตมีความหลากหลายที่แตกต่างกัน มีความต้านทานต่อโรคและสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่แปรปรวน การที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แต่ละชนิดจะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่หลากหลายได้ จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ จำนวนที่มากพอ ซึ่งพื้นที่ที่สามารถจะรองรับสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากได้ จะต้องเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ดังนั้นหลักการพื้นฐานของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญที่สุด อย่างหนึ่ง คือ การอนุรักษ์ป่าผืนใหญ่ไว้ให้ได้


https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIca9CGUtEFIVdKWbuwNgBcMZ8RXkGTy78W826w1xB4aZGxj-gzM4ro8l3l9kP5shErPy8xzkJBvXQIqe7CRRwurifpVV4vChtdO-qvnYMnLDG2jXvPDBEj9api38O9ZzWE0I8bVHrLLc/s400/34_20100518110827..jpg

 

ข้อมูลทั่วไป

          ประเทศไทยมีพื้นที่ 513,765 ตารางกิโลเมตร (321.1 ล้านไร่) มีเทือกเขาที่สำคัญ 15 ทิวเขา และมีลุ่มน้ำสำคัญ 25 ลุ่มน้ำ ดร. สุวิทย์ อ๋องสมหวัง (2541) รายงานว่าในปี 2538 มีพื้นที่ป่าเหลือประมาณ 29.97% ของพื้นที่ประเทศ ลุ่มน้ำปิงมีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่มากที่สุด (22,362.74 ตารางกิโลเมตร) ส่วนลุ่มน้ำเจ้าพระยาเหลือพื้นที่ป่าไม้น้อยที่สุด (313.31 ตารางกิโลเมตร) จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่มากที่สุดประมาณ 16,640 ตารางกิโลเมตร จังหวัดพิจิตรเหลือพื้นที่ป่าไม้น้อยที่สุด ประมาณ 1.6 ตารางกิโลเมตร จังหวัดที่ไม่มีพื้นที่ป่าประกอบด้วยกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สมุทรปราการ และนครปฐม ป่าไม้ที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่รัฐบาลโดยกรมป่าไม้ได้อนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ปี 2541 มีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่เพียง 25.28% ของพื้นที่ประเทศ (ธงชัย จารุพพัฒน์ 2541) ในปี 2542 มีอุทยานแห่งชาติทางบกจำนวน 71 แห่ง พื้นที่ประมาณ 40,264.20 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งชาติทางทะเลจำนวน 19 แห่ง พื้นที่ประมาณ 5,333.63 ตารางกิโลเมตร อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีพื้นที่ป่ามากที่สุด (2,914.70 ตารางกิโลเมตร) อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจามีพื้นที่ป่าน้อยที่สุด (50.12 ตารางกิโลเมตร) และอุทยานแห่งชาติตะรุเตามีพื้นที่ประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร โดยมีส่วนที่เป็นทะเลประมาณ 1,230 ตารางกิโลเมตร สำหรับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามีจำนวน 47 แห่ง มีพื้นที่ประมาณ 33,198.56 ตารางกิโลเมตร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรมีพื้นที่มากที่สุด (3,647.20 ตารางกิโลเมตร) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองพระยามีพื้นที่น้อยที่สุด (153.58 ตารางกิโลเมตร) เขตห้ามล่าสัตว์ป่า มีจำนวน 54 แห่ง พื้นที่ประมาณ 4,294.20 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการเตรียมการประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์อีกหลายแห่ง

หลักเกณฑ์เบื้องต้นในการจัดกลุ่มป่าหรือผืนป่าอนุรักษ์
            จากแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมและตำแหน่งของพื้นที่อนุรักษ์ในปัจจุบัน ลักษณะเทือกเขา ลักษณะของพื้นที่ลุ่มน้ำ สภาพป่าและการกระจายของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ สามารถแบ่งกลุ่มป่าได้ประมาณ 20 กลุ่มป่า โดยมีหลักเกณฑ์ในการจัดกลุ่มป่าหรือผืนป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ ดังนี้
- มีพื้นที่ขนาดใหญ่และต่อเนื่องเป็นผืนเดียว หรือกระจัดกระจายห่างกันไม่มากนัก

- เป็นพื้นที่อยู่ในแนวภูเขา หรือ เทือกเขาเดียวกัน- มีพื้นที่ลุ่มน้ำหลายลุ่มน้ำที่ต่อเนื่องกัน
- เป็นแหล่งพันธุกรรมของสัตว์ป่าขนาดใหญ่หลายชนิด
- เป็นแหล่งพันธุกรรมของระบบนิเวศป่าหลายประเภท
- เป็นแหล่งพันธุกรรมของพืชและสัตว์ป่าที่หายาก และใกล้จะสูญพันธุ์
- อยู่ในบริเวณพื้นที่ซ้อนทับหรือเขตเชื่อมต่อระหว่างเขตชีวภูมิศาสตร์ของพืช และสัตว์หลายเขต
- มีพื้นที่ต่อเนื่องกับเขตอนุรักษ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน (Transboundary Protected Areas) ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการจัดกลุ่มป่าดังกล่าว ในอนาคตการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการด้านต่าง ๆ จึงมีความจำเป็น เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ มากำหนดแนวทางการจัดการและอนุรักษ์กลุ่มป่าดังกล่าวในอนาคต

 

 https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp7P9c-NGsWc58SWaNpEUoJjhPgphamFz6e56KgnJXLdF1yX61bDh7gRicftfNwiXU2EvYDswUv6JBzgdFPowJY-eohBQo5MX1cvP8R5hRMihtCFwL21nK4RP9QrJF4tJ3nLxI8XFUKn4/s400/2528bda9.jpg

 

ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร